
การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน
เป้าหมาย
ผลการดำเนินงาน
ความมุ่งมั่น
บริษัทมีความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้มีความยั่งยืน โดยคำนึงถึงประเด็นด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และบรรษัทภิบาล (ESG) ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตร พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาปรับใช้ในกระบวนการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดของเสีย และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการคัดเลือกและใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศและชุมชน
การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการผลิตและการดำเนินงาน แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับลูกค้า ตลอดจนช่วยเปิดโอกาสทางการตลาดและดึงดูดนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน บริษัทมุ่งมั่นในการพัฒนาคู่ค้าให้สามารถดำเนินธุรกิจตามมาตรฐานด้าน ESG ผ่านการแบ่งปันองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดี เพื่อให้สามารถประเมินและบริหารความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานได้อย่างรอบด้าน ส่งผลให้เกิดการพัฒนาความยั่งยืนในระดับองค์กรและขยายไปสู่ระดับอุตสาหกรรม
ในปี 2567 แนวโน้มด้านความยั่งยืนและการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัลยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินธุรกิจ บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการใช้ระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับได้ในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนส่งเสริมให้คู่ค้าปรับตัวและนำแนวทาง ESG มาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจ และเพื่อให้ได้สินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับการใช้งาน ในราคาที่สมเหตุสมผล และสร้างประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรและสังคม บริษัทได้กำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน พร้อมแนวทางปฏิบัติสำหรับคู่ค้า เพื่อร่วมกันสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีความยั่งยืน กระจายวงกว้างไปยังท้องถิ่น และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
การสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบ
ความท้าทายและโอกาสทางธุรกิจ
ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัทต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น ความคาดหวังที่สูงขึ้นจากผู้บริโภคเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความซับซ้อนของการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ขยายตัวในระดับสากล การคัดเลือกคู่ค้าที่มีแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนที่ดีเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะการประเมินและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการดำเนินงานของซัพพลายเออร์ ซึ่งอาจส่งผลต่อชื่อเสียงของบริษัท ต้นทุนการผลิต และความสามารถในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระทบต่อการจัดการต้นทุนและประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน การเปลี่ยนแปลงของนโยบายระดับประเทศและระดับโลก เช่น กฎหมายด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์และกฎเกณฑ์ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ทำให้บริษัทต้องปรับตัวให้ทันต่อมาตรฐานใหม่ และยกระดับแนวทางปฏิบัติของคู่ค้าเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานในห่วงโซ่อุปทานสามารถรองรับข้อกำหนดที่เข้มงวดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนก่อให้เกิดโอกาสสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพของบริษัทในระยะยาว ความโปร่งใสและมาตรฐานการดำเนินงานที่สูงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจ
นอกจากนี้ การปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามและบริหารจัดการข้อมูลซัพพลายเชนยังช่วยให้บริษัทสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิต ลดของเสีย และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร อีกทั้ง การส่งเสริมให้คู่ค้าพัฒนาขีดความสามารถด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จะช่วยสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งและนำไปสู่เครือข่ายทางธุรกิจที่สามารถปรับตัวต่อแนวโน้มตลาดได้อย่างยั่งยืน
แนวทางการบริหารจัดการและการสร้างคุณค่า
แนวทางการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานของบริษัทครอบคลุมตั้งแต่การคัดเลือกคู่ค้า การบริหารความเสี่ยงในกระบวนการจัดซื้อจัดหา และการพัฒนาขีดความสามารถของผู้จัดหาให้สามารถดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทมุ่งเน้นให้กระบวนการจัดซื้อจัดหามีความยั่งยืน โดยการนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การประเมินคุณสมบัติคู่ค้า ไปจนถึงการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทมีการกำหนดมาตรการเพื่อสนับสนุนการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตของคู่ค้า พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารซัพพลายเชนและเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการดำเนินงาน
การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานภายในองค์กร
เอพี (ไทยแลนด์) ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานภายในองค์กรในฐานะกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้มีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ และสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างทันท่วงที บริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการซัพพลายเชนที่ครอบคลุมตั้งแต่การคัดเลือกคู่ค้า กระบวนการจัดซื้อจัดหา การบริหารงบประมาณและต้นทุน ไปจนถึงการบริหารคุณภาพวัสดุและการส่งมอบที่ตรงตามมาตรฐาน

ภายใต้โครงสร้างการบริหารจัดการที่เป็นระบบ โดยมีการกำกับดูแลให้กระบวนการดำเนินงานเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ การจัดการห่วงโซ่อุปทานของบริษัทให้ความสำคัญกับการสร้างมาตรฐานการดำเนินงานที่เป็นธรรม คัดเลือกคู่ค้าที่มีคุณสมบัติและความสามารถที่เหมาะสม เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานขององค์กรมีความต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน และสามารถควบคุมต้นทุนการจัดซื้อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บริษัทยังมีแนวทางส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารซัพพลายเชน โดยใช้ระบบ Web Vendor เพื่อลดความซับซ้อนของกระบวนการและเพิ่มความโปร่งใสในการทำธุรกรรมกับคู่ค้า
นอกจากนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับการจัดหมวดหมู่และบริหารคู่ค้าอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งออกเป็น Critical Tier 1 ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงและมีผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง และ Critical non-Tier 1 ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญที่สนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทในด้านอื่นๆ โดยมีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานของซัพพลายเชนให้มีความยั่งยืนมากขึ้น
เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการจัดซื้อจัดหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทได้กำหนด นโยบายการจัดซื้อจัดจ้าง ที่ครอบคลุมหลักเกณฑ์สำคัญ เช่น การคัดเลือกคู่ค้าตามมาตรฐานที่กำหนด การบริหารสัญญาและการควบคุมคุณภาพวัสดุ การจัดซื้อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานด้านจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ โดยส่งเสริมให้คู่ค้าปฏิบัติตาม จรรยาบรรณคู่ค้าธุรกิจ (Code of Conduct for Business Partners) เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและสามารถเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน

การสรรหาและคัดเลือกคู่ค้า
เอพี (ไทยแลนด์) ให้ความสำคัญกับกระบวนการสรรหาและคัดเลือกคู่ค้าอย่างรอบคอบและเป็นระบบ เพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความมั่นคง และสอดคล้องกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
บริษัทดำเนินการคัดเลือกคู่ค้าผ่านระบบ Approved Vendor List (AVL) โดยใช้แบบประเมินคุณสมบัติเบื้องต้น (Pre-qualification) และ ESG Self-assessment เป็นเงื่อนไขบังคับสำหรับคู่ค้ารายใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้ามีศักยภาพในการส่งมอบวัสดุและบริการที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ในปี 2567 มีคู่ค้าใหม่ที่ผ่านการประเมินและคัดเลือกเข้าสู่ระบบ AVL รวม 37 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มผู้รับเหมา 25 ราย และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง 12 ราย
นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนิน “โครงการ Site Visit Vendor” ซึ่งเป็นการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการของคู่ค้ารายใหม่ เพื่อประเมินความพร้อมในการดำเนินงานจริง ตรวจสอบการควบคุมคุณภาพ การปฏิบัติตามจรรยาบรรณคู่ค้าธุรกิจ และแนวปฏิบัติด้านแรงงาน สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย โดยในปี 2567 บริษัทเข้าตรวจ On-site ทั้งหมด 15 ราย และ ผ่านเกณฑ์การประเมินครบ 100%
เพื่อยกระดับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้มีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น บริษัทได้เริ่มดำเนินการ On-site ESG Audit กับคู่ค้าหลัก (Critical Tier 1) ซึ่งในปี 2567 เข้าตรวจแล้วจำนวน 2 ราย จากทั้งหมด 54 ราย หรือคิดเป็น 3.7% โดยบริษัทมีเป้าหมายจะดำเนินการตรวจครบ 100% ภายในปี 2568
การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านจัดซื้อจัดหา
เอพี (ไทยแลนด์) ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านจัดซื้อจัดหาในฐานะองค์ประกอบสำคัญของห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคงและยั่งยืน บริษัทจึงมุ่งเน้นการประเมินความเสี่ยงของคู่ค้าอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทั้งมิติด้านคุณภาพ ความสามารถในการส่งมอบ ความปลอดภัย และประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้าสามารถสนับสนุนการพัฒนาโครงการของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน

ในปี 2567 บริษัทดำเนินการประเมินความเสี่ยงของคู่ค้าในหมวดวัสดุก่อสร้างและผู้รับเหมา รวมทั้งสิ้น 586 ราย ครอบคลุมทั้งด้านคุณภาพการดำเนินงานและความยั่งยืน โดยแบ่งเกณฑ์การประเมินออกเป็น 2 กลุ่มสำคัญ ได้แก่:
1. การประเมินความเสี่ยงด้านการดำเนินธุรกิจ และความยั่งยืน
เน้นประเมินแนวทางการดำเนินงานของคู่ค้าในมิติสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล โดยใช้ 5 หมวดการประเมินหลัก ได้แก่
- การกำกับกิจการ ตามหลักบรรษัทภิบาลที่ดี
- ภาวะขาดแคลน
- การมุ่งเน้นการพัฒนา เชิงคุณภาพ
- ความปลอดภัย
- กิจการ ด้านความยั่งยืน ESG
2. การประเมินความเสี่ยงของคู่ค้าในด้านคุณภาพคู่ค้า ในหมวดของวัสดุก่อสร้าง และผู้รับเหมา (AVL)
เน้นวิเคราะห์ความสามารถ คุณภาพ การสนับสนุนโครงการของบริษัท ผ่าน 5 เกณฑ์หลัก ได้แก่
- ด้านคุณภาพวัสดุ
- ด้านการจัดส่ง
- ด้านการติดตั้ง
- ด้านการประสานงาน
- ด้านกระบวนการทำงาน
จากผลการประเมินปี 2567 พบว่าคู่ค้าทั้ง 586 ราย
ผ่านเกณฑ์การประเมินทั้งหมด
โดย “ไม่มีคู่ค้ารายใดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง” และบริษัทได้ติดตามผลการประเมินเพื่อวางแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงร่วมกับคู่ค้าต่อไป นอกจากนี้ เพื่อยกระดับความโปร่งใสและความสามารถในการตรวจสอบ บริษัทได้วางแผนให้การประเมินความเสี่ยงของคู่ค้าเป็นประจำทุกปี และพัฒนาเครื่องมือประเมินเพิ่มเติมในอนาคต